แนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต
1.ความหมาย เเละ ความสำคัญเทคโนโลยี
เทคโนโลยี หมายถึง การนำความรู้ทางธรรมชาติวิทยาและต่อเนื่องมาถึงวิทยาศาสตร์ มาเป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อันก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรมเช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
ความสำคัญของเทคโนโลยี
1.เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
2.เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา
3.เป็นเรื่องราวของมนุษย์ และธรรมชาติ
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นจนสามารถสร้าง นวัตกรรม (Innovation) ซึ่งก็คือ การเรียนรู้ การผลิตและ การใช้ประโยชน์จากความคิดใหม่ ให้เกิดผลทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม เทคโนโลยีทำให้สังคมโลกที่เรียบง่าย กลายเป็นสังคมที่มีการดำรงชีวิตที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ก่อให้เกิดกระแสแห่งความไร้พรมแดน หรือกระแสโลกาภิวัฒน์ ที่เข้ามาสู่ทุกประเทศอย่างรวดเร็ว จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ อันเป็นการผสมผสาน 4 ศาสตร์ เข้าด้วยกันได้แก่ อิเล็อทรอนิกส์ โทรคมนาคม และข่าวสาร (Electronics , Computer ,Telecomunication and Information หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ECTI ) ทำให้สังคมโลกสามารถสื่อสารกันได้ทุกแห่งทั่วโลกอย่างรวดเร็ว สามารถรับรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้พร้อมกัน สามารถบริหารจัดการและตัดสินใจได้ทุกขณะเวลา การลงทุนค้าขาย และธุรกรรมการเงินทได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเทคโนโลยีกำลังทำโลกใบนี้ “เล็กลง” ทุกขณะ
ประโยชน์ของเทคโนโลยี
- ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แถมยังช่วยพัฒนาระบบอารายธรรมโดยทางอ้อมอีกด้วย
เรื่องราวจากการเริ่มต้นเทคโนโลยี ยาวนานจนบัดนี้ทำให้มนุษย์เราแทบไม่สามารถแยกจากเทคโนโลยีไปได้แล้ว
-ช่วยให้มนุษย์มีความสะดวกสบายขึ้น
-ช่วยให้เราทันสมัย
-ช่วยประหยัดเวลา
-ช่วยในการทำงาน
โทษของเทคโนโลยี
เทคโนโลยีถือได้ว่ามีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์มากไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนการสอน การทำงานต่างๆ และการติดต่อสื่อสารซึ่งถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักใช้ก็จะมีโทษต่อมนุษย์เช่นกันเช่นมีผลทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและอาจทำให้มนุษย์ขี้เกียจทำงานมากขึ้นเพราะอันเนื่องมาจากความสะดวก สบายรวดเร็วเกินไป
2.วิวัฒนาการเทคโนโลยี
วิวัฒนาการการของเทคโนโลยี (Evolution of Technology) เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาเมื่อเวลาผ่านไปขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยูกับกระบวนการทางวิวัฒนาการ (Evolution) ของระบบหรือเครื่องมือนั้นๆ ดังนันคําว่าวิวัฒนาการของเทคโนโลยี (Evolution of Technology) จึงหมายถึง ความเปลี่ยนแปลงที่เกดขึ้นในระบบหรือเครื่องมือทีเกิดขึ้นอย่างซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงตามลําดับอย่างต่อเนื่องอันมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ
วิวัฒนาการสามารถแบงได้เป็น 5 ยุค
- ยุคหิน (Stone age)
- ยุคทองสัมฤทธิ (Bronze age)
- ยุคเหล็ก (Iron age)
- ยุคการปฏิวัติ อุตสาหกรรม (Industrial Revolution)
- ยุคศตวรรษที 20 (The 20th Century)
> ยุคที่ 1 ยุคหิน (Stone age) <
เป็นยุคแรกของมนุษย์ที่มีการใช้เครื่องมือซึงทํามาจากหินทังสินเชนอาวุธทีใช้ในการตอสู้หรือเครื่องใช้ภายในครัวเรือนชนิดต่างๆ เครื่องมือต่างๆเหล่านี้ทํามาจากหิน ก่อนทีจะมีการใช้โลหะในเวลาต่อมา
> ลักษณะของยุคหินในทวีปต่างๆ <
ทวีปอเมริกายุคหินในทวีปอเมริกาได้เริ่มขึนเมื่อมีมนุษย์รุ่นแรกๆจากหลายถิ่นฐานได้เข้าไปอยูอ่าศัยในทวีปอเมริกาหรือที่เรียกวาโลกใหม่ (Newworld)
เมื่อประมาณ 30,000 ปีทีแล้วและยุคหินในทวีปอเมริกาได้สินสุดลงเมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทวีปเอเชีย (ตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ยุคหินได้สิ้นสุดเมื่อ ประมาณ 6,000 ปีกอนคริสต์ศักราช
ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกา และเอเชียเหนือ ยุคหินได้สิ้นสุดเมื่อประมาณ 4,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
ระยะเวลาของยุคหินในแตละทวีปบนพื้นโลกมีความแตกต่างกันดังได้กลาวมาแล้ว และระยะเวลาการเกิดของยุคหินในแตละที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อมนุษย์ด้วยเช่นกันดังนันจึงได้แบงยุคหินออกเป็น 3 ระยะ
ระยะพาลีโอลิค (Paleolitthic) หรือ Old Stone Age เป็นช่วงทีมีความยาวนานมากที่สุดของยุคหินโดยได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 2 ล้านปี ทีผานมาแล้ว และสิ้นสุดเมื่อยุคนําแข็งได้สิ้นสุดลงเมื่อประมาณ 13,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มนุษย์ยุคนี้ได้นําหินมาทําเป็นอาวุธและได้พบหลักฐานวามนุษย์ถ้าโครแมนยอง (Cro-Magnon) ในทวีปยุโรปได้วาดภาพซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ต่างๆ ในชวงปลายของระยะนี้
ระยะมีโซลิติค (Mesolithic) หรือ Middle Stone Age เป็นชวงหลัง 13,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นบนพื้นโลก ส่งผลให้มีความอุดมสมบูรณ์ของอาหารเพิ่มมากขึ้นจึงมีเครื่องมือเครื่องใช้หลายชนิดทีทําด้วยก้อนกรวดก้อนหินที่ได้มาใช้ในชีวิตประจําวัน
ระยะนีโอลิติต (Neolithic) ระยะนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช มนุษย์ยุคนี้ได้นําสังคมเกษตรกรมเข้ามาใช้ในชีวิตประจําวันเครื่องมือที่ใช้ในครัวเรือนบางชนิดได้มีการเปลี่ยนแปลงและได้มีการเริ่มใช้โลหะบางชนิด ได้มีการเปลี่ยนแปลงและได้มีการเริ่มใช้โลหะบางชนิดในชวง่ปลายของระยะนี้
> ยุคทองสัมฤทธิ (Bronze age) <
ลักษณะของยคทองสัมฤทธิ์ ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และสิ้นสุดเมื่อประมาณ 1,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เชือกนวาเครื่องไม้เครื่องมือทีทําจากทองสําเริดได้เริ่มมีขึนครั้งแรกในแถบตะวันออกกลาง (Middle East) และในทวีปยุโรปโดยเริ่มที่ประเทศกรีกในทวีปเอเชีย ยุคทองสําริดได้เริ่มขึ้นที่ประเทศจีนเมื่อประมาณ 1,800 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ส่วนในทวีปอเมริกา ยุคทองสําริดได้เริ่มขึ้นเมื่อ 1,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ในประเทศไทยได้มีการค้นพบเครื่องมือบางชนิดทีทําด้วยทองสําริด เช่น ใบหอกขวานกาไล และ เบ็ดตกปลา เป็นต้น ที่ ตําบลบ้านเชียง อําเภอหนองหาน จังหวัดอุบลราชธานี และทีตําบลแวงอําเภอสว่างแดนดินจังหวัดสกลนครและจากการค้นพบวัตถุโบราณชนิดนี้ทําให้เชื่อวายุคทองสําริดเกดขึ้นมานานแล้วประมาณ 4,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
ยุคทองสําริดในตะวันออกกลางและแถบเมดิเตอร์เรเนียนแบ่งออกเป็น 3 ระยะดังนี้
- ระยะต้น (Eaarly Bronze age) โลหะถูกนํามาใช้เป็นเครื่องมือในชีวิตประจําวันมากขึ้นซึ่งเป็นยุคของ ชูบาเรียน ซิวิไลเซซัน ( Sumaian Civilzation)
- ระยะกลาง (Middle Brone age) เป็นยุคของบาบิโลน (Babylon) ชาวบาบิโลนนอกจากรู้จักใช้โลหะแล้ว ยังเป็นผู้ให้กาเนิดวิธีการทํานายชะตาชีวิตมนุษย์
โดยดูจากอิทธิพลของดวงดาวหรือโหราศาสตร์โดยมีหลักฐานหินปักเขตรูปเทพเจ้าต่างๆ ที่ค้นพบ
- ระยะสุดท้าย (Late Bronze age) เป็นยุคของไมโนแอน ครีท (Minoan crete) และไมซีนาเอน ครีซ (Mycenaean Creece)
> ยุคเหล็ก (Iron age) <
ลักษณะของยุคเหล็ก เป็นยุคที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆ มีการนําเอาเหล็กเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ และอาวุธยุทโธปกรณ์แทนทองสัมฤทธิ์ซึ่งมีการใช้แพร่หลายคนในยุคทองสัมฤทธิ์ยุคนี้ได้นําเหล็กมาใช้มากขึ้นเมื่อมีการนําเตาเผาซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการหลอมโลหะบางชนิดจนทําให้เหล็กกลายเป็นวัสดุที่สําคัญที่ใช้ในการผลิตวัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ ของมนุษย์ในยุคเหล็ก โลหะเหล็กใช้กันแพร่หลายมากในช่วง 500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ในประเทศไทยมี การขุดพบเครื่องมือที่ทําจากเหล็กที่ บ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี และที่ตําบลโนนชัย อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
การผลิตเหล็กกล้าในยุคแรกๆ ทําได้ด้วยวิธีการนําธาตุคาร์บอนไปผสมกับธาตุเหล็กจากนั้นจะใช้ค้อนทุบในเตาถ่านหินที่มีอุณหภูมิสูงเพื่อทําเป็นอุปกรณ์ใช้สอยชนิดต่างๆ เช่นภาชนะ เครื่องใช้สอยต่างๆ ในครัวเรือนนอกจากนี้ได้มีการนําซีเมนต์และคอนกรีตโดยมีเหล็กเป็นโครงสร้างมาก่อนสร้างตึกอาคารต่างๆ
ในยุคนี้อุตสาหกรรมการทําเหมืองแร่ได้มีการพัฒนามากขึ้นด้วย
> ยุคการปฏิวัติ อุตสาหกรรม (Industrial Revolution) <
ลักษณะของยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆจากยุคต้นๆจนกลายเป็นยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ (Great Britain) ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1790-1830 โดยการสนับสนุนของรัฐบาลอังกฤษ โดยในช่วงแรกๆได้พัฒนาจากการเกษตรแบบชนบท จากนั้นกลายเป็นการเกษตรแบบเมืองและกลายเป็นอุตสาหกรรมการผลิตในที่สุด อุตสาหกรรมการผลิตแห่งแรกในประเทศอังกฤษได้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1740 ได้แก่อุตสาหกรรมสิงทอง ต่อมา James Watt และ Homas Newcomen ได้ผลิตเครื่องจักรไอน้ำขึ้น ยุคอุตสาหกรรมได้แพร่หลายไปยังหลายประเทศในทวีปยุโรปในชวงศตวรรษที่ 19 และขยายไปยังอเมริกา รัสเซีย และ ญี่ปุ่นในชวงต้นศตวรรษที่ 20
ในยุคนี้เทคโนโลยีเจริญรุดหน้ามาก คือ เทคโนโลยีด้านพลังงาน (Energy Technology) มีการสร้างกงหันลมและใช้พลังงานไอนํ้าสำหรับการทํางานของเครื่องจักรกล และการค้นพบความรู้เรื่องไฟฟ้าเป็นผลให้คิดค้นสร้างเครื่องกาเนิดไฟฟ้าความรู้การถลุงแร่ทําให้เกิดโลหะวิทยาและเกิดเทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้น นอกจากนี้มีการสร้างโรงงานทอผ้าที่ใช้ความรู้ทางเคมีกับเรื่องทอ ในตอนปลายของยุค วิศวกรโรงงานต่างๆ พัฒนาสิ่งก่อสร้างต่าง เช่น เขื่อนท่อ การสือสารและคมนาคม เช่น ก่อสร้างถนน ขุดคลอง กิจการรถไฟ การสื่อสารระบบการพิมพ์ การถายภาพ โทรเลข โทรศัพท์ เทคโนโลยีในยุคนี้ก้าวหน้ารวดเร็วมาก ส่วนใหญเป็นเทคโนโลยีตามความต้องการของสังคมอุตสาสิงๆ สะพานหกรรมขณะนั้น
> ยุคศตวรรษที 20 (The 20th Century) <
ลักษณะของยุคศตวรรษที่ 20 ยุคนี้ ถือเป็นการเจริญเติบโตอย่างมากหรือยุคทองทางด้านเทคโนโลยีได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 ตอน ( education)ทําให้มีการคิดค้นสร้างใหม่ๆ อย่างไม่มีขีดจํากัดอย่างมากกระบวนการผลิต
กระบวนการ ต่างๆ ที่นําไปสูการเจริญเติบโตแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน
-ความเข้าใจพื้นฐาน (Basic information)
-การให้ความรู้ด้านเทคนิค (Technica education)
-การประเมินผลด้านเทคโนโลยี (Assessment of technology)
-อนาคตของเทคโนโลยี (Outlook)
ยุคนี้เริ่มจากการบิน การส่งจรวด ความรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ และ ระเบิดปรมาณู การประดิษฐ์คิดต้นวัสดุใหม่ๆ ซึ่งมีทั้งสร้างสรรค์และทำลายสังคม การพัฒนาวิทยาการบินและเทคโนโลยีทางอวกาศก้าวหน้ามากเกิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลายแขนง ทำให้มีการคิดค้นสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด
3.ผลของเทคโนโลยีด้านบวก เเละ ด้านลบ
แนวโน้มใน ด้านบวก
การพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ช่องทางการดำเนินธุรกิจ เช่น การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การผ่อนคลายด้วยการดูหนัง ฟังเพลง และบันเทิงต่างๆ เกมออนไลน์ การพัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถฟังและตอบเป็นภาษา พูดได้ อ่านตัวอักษรหรือลายมือเขียนได้ การแสดงผลของคอมพิวเตอร์ได้เสมือนจริง เป็นแบบสามมิติ และการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส เสมือนว่าได้อยู่ในที่นั้นจริง
การพัฒนาระบบสารสนเทศ ฐานข้อมูล ฐานความรู้ เพื่อพัฒนาระบบผู้เชี่ยวชาญและการจัดการความรู้
การศึกษาตามอัธยาศัยด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) การเรียนการสอนด้วยระบบโทรศึกษา (tele-education) การค้นคว้าหาความรู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงจากห้องสมุดเสมือน (virtual library)
การพัฒนาเครือข่ายโทร คมนาคม ระบบการสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สาย เครือข่ายดาวเทียม ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ทำให้สามารถค้นหาตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ
การบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ ดำเนินการของภาครัฐที่เรียกว่า รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) รวมทั้งระบบฐานข้อมูลประชาชน หรือ e-citizen
แนวโน้มใน ด้านลบ
ความผิดพลาดในการทำงานของระบบ คอมพิวเตอร์ ทั้งส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ที่เกิดขึ้นจากการออกแบบและพัฒนา ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหา
การละเมิดลิขสิทธิ์ของทรัพย์สินทางปัญญา การทำสำเนาและลอกเลียนแบบ
การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ การโจรกรรมข้อมูล การล่วงละเมิด การก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์
4.ประโยชน์ของเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
- ช่วยให้ติดต่อสื่อสารระหว่างกันอย่างสะดวกรวดเร็ว โดยใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์หรือในรูปของ สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ
- ช่วยให้เก็บสารนิเทศไว้ในรูปที่สามารถเรียกใช้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสะดวก
- ช่วยในการจัดระบบข่าวสารจำนวนมหาศาล ซึ่งผลิตออกมาในแต่ละวัน
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสารนิเทศ เช่น ช่วยนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร ด้วยการช่วยคำนวณตัวเลขที่ยุ่งยาก ซับซ้อนซึ่งไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยมือ
- ช่วยให้สามารถจัดระบบอัตโนมัติเพื่อการเก็บ เรียกใช้และประมวลผลสารนิเทศ
- อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงสารนิเทศดีกว่าสมัยก่อน ทำให้ผู้ใช้สารนิเทศมี ทางเลือกที่ดีกว่า มีประสิทธิภาพกว่า และสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ดีกว่า
- ลดอุปสรรคเกี่ยวกับเวลาและระยะทางระหว่างประเทศ
5.ตัวอย่างเทคโนโลยีสมัยใหม่
การสื่อสารผ่านดาวเทียม (satellite-based communication)
เนื่องจากท้องที่ทางภูมิศาสตร์เต็มไปด้วยภูเขา หุบเขา หรือเป็นเกาะอยู่ในทะเล การสื่อสารที่ดีวิธีหนึ่งคือการใช้ดาวเทียม ดาวเทียมได้รับการส่งให้โคจรรอบโลก โดยมีการเคลื่อนที่ไปพร้อมกับการหมุนของโลก ทำให้ดาวเทียมอยู่ในตำแหน่งคงที่เมื่อมองจากพื้นโลก ดาวเทียมจะมีเครื่องถ่ายทอดสัญญาณติดตั้งอยู่ การสื่อสารโดยผ่านดาวเทียมจะทำโดยการส่งสัญญาณสื่อสารจากสถานีภาคพื้นดินแห่งหนึ่งขึ้นไปยังดาวเทียม เมื่อดาวเทียมรับก็จะส่งกลับมายังสถานีภาคพื้นดินอีกแห่งหนึ่งหรือหลายแห่ง เราจึงใช้ดาวเทียมเพื่อแพร่ภาพสัญญาณโทรทัศน์ได้
การรับจะครอบคลุมพื้นที่ที่ดาวเทียมลอยอยู่
ซึ่งจะมีบริเวณกว้างมากและทำได้โดยไม่มีอุปสรรคทางภูมิศาสตร์ เช่น
มีแนวเขาบังสัญญาณ
ดาวเทียมจึงเป็นสถานีกลางที่ถ่ายทอดสัญญาณจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้
ปัจจุบันประเทศไทยมีดาวเทียมไทยคมสามดวงลอยอยู่เหนือประเทศทางด้านมหาสมุทรอินเดียและอ่าวไทย
ดาวเทียมไทยคมนี้ใช้ประโยชน์ทางด้านการสื่อสารของประเทศได้มาก
เพราะเป็นการให้บริการสื่อสารของประเทศในรูปแบบต่างๆ
ตั้งแต่การรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ สัญญาณจากวิทยุ สัญญาณข้อมูลข่าวสารต่างๆ
การสื่อสารด้วยเส้นใยนำแสง (fiber optic)
ฃ
เส้นใยนำแสงมีลักษณะเป็นท่อแก้วที่อ่อนตัวอยู่ในสายที่หุ้มด้วยพลาสติก
ลักษณะของท่อแก้วหุ้มด้วยสารพิเศษที่ทำให้เกิดการหักเหของแสงอยู่ภายในท่อแก้ว
ดังนั้นเราสามารถส่งแสงจากปลายด้านหนึ่งให้ไปปรากฏที่ปลายอีกด้านหนึ่งได้ แม้ว่าเส้นใยนำแสงนั้นจะคดงอไปอย่างไรก็ตามก็จะส่งแสงเข้าไปในท่อแก้วได้
เมื่อมีการนำเอาข้อมูลเข้าไปผสมกับแสง
เพื่อให้แสงกระพริบตามการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล
ทำให้เรารับส่งสัญญาณข้อมูลไปกับแสงได้
การรับส่งข้อมูลเข้าไปในแสงทำได้มากและรวดเร็วปัจจุบันในประเทศไทยมีการวางเครือข่ายเส้นใยนำแสงไปตามถนนหนทางต่างๆ
ทั้งใต้ดิน และที่แขวนไปตามเสาไฟฟ้า มีการวางเชื่อมโยงกันระหว่างจังหวัด
เพื่อให้ระบบสื่อสารเป็นเสมือนเส้นทางด่วนที่รองรับการสื่อสารของประเทศ
โครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล (Integrated Service Digital Network : ISDN)
ลักษณะเครือข่ายนี้เป็นการขยายการบริการจากระบบโทรศัพท์เดิมให้เป็นระบบดิจิทัลคือส่งสัญญาณข้อมูลตัวเลขแทนเสียง แทนภาพ แทนข้อมูล การสื่อสารโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัลจึงเน้นการประยุกต์ใช้งานหลายอย่างบนเครือข่ายเดียวกัน โดยวางฐานขยายจากโทรศัพท์ เช่น ในสายโทรศัพท์เส้นเดียวที่เชื่อมต่อไปยังบ้านเรือนผู้ใช้ สามารถประยุกต์ให้เป็นระบบโทรศัพท์ที่เห็นภาพ ใช้ส่งโทรสาร ใช้เป็นระบบการประชุมทางวีดิทัศน์ ใช้ในการส่งข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ เพื่อเชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ การดำเนินการเหล่านี้สามารถทำได้พร้อมกันบนสายสื่อสารเดียวกันโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัลควรได้รับการพัฒนา โดยวางโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมโยงต่างๆ ไว้ให้พร้อม เพื่อรองรับความเร็วของการรับส่งข้อมูลได้สูงขึ้น
ระบบเครือข่ายสวิตชิง (switching technology)
ด้วยเทคโนโลยีเอทีเอ็มสวิตชิงที่มีความเร็วสูงทำให้การสื่อสารผ่านเส้นใยนำแสงในการส่งผ่านข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทางได้ด้วยความเร็วหลายร้อยเมกะบิตต่อวินาที เอทีเอ็มสวิตชิงจึงเป็นเทคโนโลยีของการสร้างเครือข่ายข้อมูลข่าวสารที่จะรองรับการใช้งานแบบสื่อประสม ปัจจุบันหลายหน่วยงานได้เริ่มใช้เครือข่ายด้วยเทคโนโลยีเอทีเอ็มสวิตชิงภายในองค์กรของตนเอง และมีแนวโน้ม การขยายตัวเพื่อรองรับระบบนี้สำหรับเครือข่ายระยะไกลในอนาคตต่อไประบบสื่อสารเคลื่อนที่ (mobile phone system)
หรือที่เรียกว่าระบบเซลลูลาร์โฟน (cellular
phone system) ที่ใช้กับโทรศัพท์ ทำให้มีโทรศัพท์ติดรถยนต์
โทรศัพท์เคลื่อนที่ ปัจจุบันการสื่อสารระบบนี้เป็นที่แพร่หลายและนิยมใช้กันมาก
ลักษณะการทำงานของระบบสื่อสารแบบนี้คือ มีการกำหนดพื้นที่เป็นเซล เหมือนรวงผึ้ง
แต่ละเซลจะครอบคลุมพื้นที่บริเวณหนึ่ง
มีระบบสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างเซลเข้าด้วยกัน ครอบคลุมพื้นที่บริการไว้ทั้งหมด
ดังนั้นเมื่อเราอยู่ที่บริเวณ พื้นที่บริการใด และมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่
สัญญาณจากโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเชื่อมโยงกับสถานีรับส่งประจำเซลขึ้น
ทำให้ติดต่อไปยังข่ายสื่อสารที่ใดก็ได้
ครั้นเมื่อเราเคลื่อนที่ออกนอกพื้นที่ก็จะโอนการรับส่งไปยังเซลที่อยู่ข้างเคียงโดยที่สัญญาณสื่อสารไม่ขาดหาย
ระบบสื่อสารไร้สาย (wireless communication)
เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างความสะดวกในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้าสู่เครือข่าย ระบบที่รู้จักและใช้งานกันแพร่หลายคือ ระบบแลนไร้สาย (wireless LAN) เป็นระบบเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต่างๆ เข้าสู่เครือข่ายด้วยสัญญาณวิทยุ สามารถเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบด้วยความสูงถึง 11 เมกะบิตต่อวินาที ระบบเครือข่ายไร้สายที่รู้จักและนำมาประยุกต์ใช้กันมากอีกระบบหนึ่งคือ ระบบบลูทูธ (bluetooth) เป็นการเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ เข้าสู่เครือข่ายในระยะใกล้ เพื่อลดการใช้สายสัญญาณ และสร้างความสะดวกในการใช้งาน
สำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-Office)
สำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-Office) คือ
การใช้เทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อปฎิบัติงานทั่วไป
งานประจำวัน อย่างเช่น การจัดการเอกสาร จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
การเก็บรักษาและแก้ไขกลุ่มข้อความ กลุ่มรูปภาพ งานทางบัญชี และ อื่น ๆ
สำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ ยังรวมถึงระบบ
เครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมที่สามารถใช้ประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย
รูปแสดงการใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้ามาบริหารสำนักงาน
ระบบสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-Office) รวมถึง
ระบบข้อมูลสำนักงานอัตโนมัติ เป็นระบบที่มีจุดประสงค์หลัก คือ
การอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร ระบบเช่นนี้เป็น การนำเครื่องมือ
เครื่องใช้ หลาย ๆ อย่าง รวมเข้าด้วยกัน, ใช้งานร่วมกัน, เก็บรักษา,
นำไปใช้ และกระจายข้อมูล ระหว่างผู้ร่วมงาน แต่ละคน , ทีมงาน
และธุรกิจ นั้น ทั้งภายใน และภายนอกองค์กร ตัวอย่างของเครื่องมือ
สำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เวิร์ดโปรเซสซิ่ง, เครื่องพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ,
อีเมลล์, วอยซ์เมลล์, เครื่องแฟกซ์,
มัลติมีเดีย,คอมพิวเตอร์ คอนเฟอร์เรนซิ่ง และ
วิดิโอคอนเฟอร์เรนซิ่งหลายปีที่ผ่านมา สำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-Office) ถูกมองว่า
มีเพียงหน้าที่แก้ปัญหาในการทำงาน แต่ในปัจจุบัน ระบบที่ช่วยเสริมการติดต่อ
สื่อสารในสถานที่ทำงาน ถูกมองว่ามีความสำคัญ และต้องได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
ในระดับเดียวกับระบบ TPS, MIS และ ISS สำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-Office) ในปัจจุบัน
ดูเหมือนกับไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ๆ
แตกต่างจากสำนักงานที่ใช้เพียงเครื่องจักรกล เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเครื่องพิมพ์ดีด,
เครื่องยนต์ กลไกล และ ระบบไปรษณีย์
เป็นความหมายหลักของการติดต่อสื่อสาร ยิ่งไปกว่านั้น
ยังมีเรื่องน่าทึ่งที่ยังรอคอยเราอยู่ เรากำลังจะได้เริ่มเห็นบทบาทของ
บริษัทเสมือนจริง ซึ่งสามารถทำให้ เราทำงานได้ในทุกแห่ง ปราศจากข้อจำกัดด้านพื้นที่การใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานในสำนักงาน
อาจเรียกว่า “สำนักงานอัตโนมัติ หรือโอเอ
(OA = Office Automation)” อาทิ
1.ประมวลผลคำ
2.บัญชี
3.ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
การประชุมทางไกล (Teleconference)
การประชุมทางไกล (Teleconference) คือ การนำเทคโนโลยีสาขาต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายโทรทัศน์ และระบบสื่อสารโทรคมนาคมผสมผสาน เพื่อสนับสนุนในการประชุมให้มีประสิทธิภาพล ให้บริการ Teleconference หรือบริการโทรศัพท์ทางไกลผ่าน ICQ,MSN,Net2phone เป็นต้น
การประชุมทางไกลแบ่งออกเป็น 3
ประเภท ได้แก่
1.
การประชุมทางไกลด้วยเสียงและภาพ (Video
Teleconference) เป็นการประชุมที่ได้ทั้งภาพและเสียงของผู้เข้าร่วมประชุมโดยผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนจะต้องต้องเข้าไปอยู่ในสตูดิโอที่จัดไว้พิเศษ
ณ ที่ต่างกัน
แล้วเชื่อมต่อด้วยวงจรโทรศัพท์หรือวงจรพิเศษ
2.
การประชุมทางไกลด้วยเสียง (Adio
Teleconference) เป็นการประชุมที่มีการใช้โทรศัพท์เป็นอุปกรณ์สำคัญในการสื่อสาร ผู้เข้าประชุมจะได้ยินเฉพาะเสียงของผู้เข้าร่วมประชุมด้วยกันเท่านั้น จะไม่เห็นภาพคนที่เข้าร่วมประชุมด้วยกัน
3.
การประชุมทางไกลด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer
Teleconference) เป็นการประชุมที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ในการสื่อสาร
และป้อนข้อมูลการประชุมระหว่างกันแทนการใช้โทรศัพท์หรือประชุมกันตามปกติ ผู้เข้าประชุมจะนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ และป้อนข้อมูลและคำสั่งต่าง ๆ
ส่งถึงผู้เข้าประชุมคนอื่น ๆ
ที่อยู่ห่างไกลออกไประบบการสื่อสารจะใช้โทรศัพท์ ไมโครเวฟ
หรือดาวเทียมก็ได้
ห้องสมุดเสมือน (Virtual Library)
การค้นหาแหล่งความรู้ต่าง ๆ ทั่วโลกผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และตรงกับความต้องการมากที่สุด ห้องสมุดเป็นหน่วยงานซึ่งมีหน้าที่รวบรวม จัดเก็บ และให้บริการสารสนเทศ เพื่อการศึกษาค้นคว้าแก่อาจารย์ นักศึกษา นักวิจัย และบุคลากรของสถาบัน ดังนั้นเมื่อมีการพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และนำเอามาประยุกต์ใช้กับงานห้องสมุด ทำให้มีรูปแบบของห้องสมุดใหม่ ๆ เกิดขึ้น ซึ่งเรียกว่า ห้องสมุดเสมือน (Virtual Library) นั่นเอง
ห้องสมุดเสมือน
หรือ Virtual Library หมายถึง
ห้องสมุดที่เกิดจากการรวมตัวของเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องที่ติดต่อกันบนระบบเครือข่ายและใช้โปรแกรมที่มีประสิทธิภาพในการจัดการ
โดยเน้นให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพียงนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับแหล่งสารสนเทศต่างๆ
ไม่ว่าสารสนเทศนั้นจะอยู่ที่ใด
โดยห้องสมุดจะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้
และทำหน้าที่กระจายสารสนเทศโดยเน้นการเข้าถึงมากกว่าการเป็นเจ้าของ
หนังสือที่อยู่ในห้องสมุดเสมือนจะอยู่ในรูปของอิมเมจ (Image) ซึ่งอาจเกิดจากการสแกนหน้าหนังสือ
วารสาร เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์
ห้องสมุดเสมือนจึงเป็นที่รวมแหล่งสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการจัดการอย่างมีระบบและให้บริการค้นคืนสารสนเทศแบบออนไลน์ในระบบเครือข่าย
โดยที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงระยะไกลมายังห้องสมุดเพื่อสืบค้นและใช้สารสนเทศของห้องสมุดหรือเชื่อมโยงกับแหล่งสารสนเทศอื่นได้ทุกที่ในระบบเครือข่าย
เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
แนวคิดของห้องสมุดเสมือน
พัฒนามาจากแนวคิดเดิมที่เรียกว่า ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งลักษณะของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ตามแนวคิดของ Dowlin ในสมัยนั้น (1984 : 33) มีองค์ประกอบ 4
ประการคือ 1.
การจัดการทรัพยากรสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์
2.
ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศโดยทางอิเล็กทรอนิกส์
3.
บรรณารักษ์หรือบุคลากรของห้องสมุดสามารถแทรกการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับห้องสมุดได้
เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์
4.
ความสามารถในการจัดเก็บ
รวบรวมและนำส่งสารสนเทศสู่ผู้ใช้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์
ห้องเรียนเสมือนเป็นการเรียนการสอนที่จำลองแบบเสมือนจริง เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่สถาบันการศึกษา ต่างๆ ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจและจะขยายตัวมากขึ้นในศตวรรษที่ 21 การเรียนการสอนในระบบนี้อาศัยสื่ออิเล็กทรอนิกส์โทรคมนาคม และเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ที่เรียกว่า Virtual Classroom หรือ Virtual Campus บ้าง นับว่าเป็นการพัฒนาการ บริการทางการศึกษาทางไกลชนิดที่เรียกว่าเคาะประตูบ้านกันจริงๆ ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) หมายถึง การเรียนการสอนที่กระทำผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของผู้เรียนเข้าไว้กับเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการเครือข่าย (File Server) และคอมพิวเตอร์ผู้ให้บริการเว็บ (Web sever) เป็นการเรียนการสอนที่จะมีการนัดเวลาหรือไม่นัดเวลาก็ได้ และนัดสถานที่ นัดตัวบุคคล เพื่อให้เกิด การเรียนการสอน มีการกำหนดตารางเวลาหรือตารางสอน เข้าสู่กระบวนการเรียนการสอนพร้อมๆ กันหรือไม่พร้อมกัน มีการใช้สื่อการสอนทั้งภาพและเสียง ผู้เรียนสามารถร่วมกิจกรรมกลุ่มหรือตอบ โต้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้สอนหรือกับเพื่อนร่วมชั้นได้เต็มที่ (คล้าย chat room) ส่วนผู้สอน สามารถตั้งโปรแกรมติดตามพัฒนาการประเมินผลการเรียนรวมทั้งประสิทธิภาพของหลักสูตรได้ ทั้งนี้ ไม่จำกัดเรื่องสถานที่ เวลา (Any Where & Any Time) ของผู้เรียนในชั้นและผู้สอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น